ศิลปะ ดนตรี × การเข้าถึง (Appreciation) × ความลึกซึ้ง

การเข้าถึงความงามของศิลปะไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่เติบโตผ่านเวลาและประสบการณ์ เหมือนการฟังดนตรีที่ซับซ้อน หรือการสนทนาที่ลื่นไหล ทุกอย่างต้องการความใกล้ชิดและการเรียนรู้เพื่อเข้าถึงความลึกซึ้ง

บางทีเวลาดูงานศิลปะในแกลลอรี่ ผมจะเห็นคนที่ยืนดูงานศิลปะด้วยแววตาที่เป็นประกาย ขณะที่ผมเองก็เห็นว่ามันสวย แต่ไม่สามารถเข้าถึงความลึกซึ้งได้เหมือนพวกเค้า ราวกับว่าพวกเค้าเห็นบางสิ่งที่ผมมองไม่เห็น (บางทีผมก็เห็นว่ามันน่าปั้นหรือวาดขึ้นมายากแน่ ๆ แต่ก็เท่านั้นด้วยซ้ำ) เข้าถึงไม่สุด, Appreciate ไม่สุด ทำไมถึงเป็นแบบนั้นหละ เราต่างกันอย่างไร?

ทำไมคนเราถึง Appreciate งานศิลปะไม่เท่ากัน?

ผมเลยลองคิดเปรียบเทียบในมุมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาพวาดดู ลองนึกถึงดนตรีซึ่งผมคุ้นเคยมากกว่า ผมชอบดนตรีบางชนิดเป็นพิเศษ (ดนตรีฟิวชั่นจงเจริญ) คนอื่นอาจจะชอบดนตรีแบบอื่น ๆ แตกต่างกันออกไป ดนตรีที่เรียบง่าย เพลงป๊อปฟังสบาย ไปจนถึงดนตรีที่ซับซ้อนจนนับจังหวะแทบจะไม่ถูก

คิดต่อไปอีก เอาเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปอย่างการสนทนา เวลาคุยกับเพื่อนที่คุยแล้วรู้สึกว่าคุยถูกคอ บทสนทนาไหลลื่น คุยกันได้เรื่อย ๆ เป็นชั่วโมง นั่นเป็นเพราะว่า Wavelength ของเรา มุมมอง ความนึกคิด ความรู้ความเข้าใจต่อหัวข้อในการสนทนาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถต่อกันติด แลกเปลี่ยนแนวคิด และต่อยอดไอเดียไปได้เรื่อย ๆ กลับกัน ถ้าเอาคนที่อยู่กันคนละวงการ จับคนในวงการแฟชั่นมานั่งคุยกับฟิสิกส์ รับรองว่าการหาจุดร่วมนั้นจะยากกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับการจับเชฟมานั่งคุยกับนักโภชนาการ (ถ้าใครพยายามชวนผมคุยเรื่องหนัง บอกได้เลยว่าบทสนทนานั้นจะแห้งมาก ๆ เพราะผมเป็นคนที่แทบจะไม่ดูหนังเลย)

วกกลับมาเรื่องดนตรี ด้วยความที่ผมชอบและเล่นดนตรีค่อนข้างจริงจัง สิ่งที่ผมสังเกตเห็นเลยคือ เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่เล่นดนตรีจริงจังเช่นเดียวกัน กับเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ไม่เล่นดนตรี จะฟังเพลงไม่เหมือนกันเลย . . . คนที่เล่นดนตรีชอบเพลงซับซ้อน ชอบเพลงที่ “ลึก” ส่วนคนที่ไม่เล่นดนตรีมักจะชอบเพลงที่ซับซ้อนน้อยกว่า (ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเพลงหรือดนตรีที่ฟังสบายนะ ชอบเหมือนกัน เพียงแต่สามารถชอบและหลงรักเพลงที่ซับซ้อนได้ ซึ่งเป็นเพลงที่คนทั่ว ๆ ไปอาจจะฟังแล้วขมวดคิ้วทั้งเพลงเลยด้วยซ้ำ)

การเข้าถึงสิ่งที่ “ลึก” นั้นต้องมาจากเวลาและความใกล้ชิด

คนที่เล่นเกม RPG ที่ต้องมีการเก็บเลเวลจะรู้ว่าถ้าเลเวลของเรากับมอนสเตอร์ต่างกันมาก เราอาจจะมองไม่เห็นเลเวลของมอนสเตอร์ตัวนั้น แปลว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นเหนือชั้นกว่าเรามาก (ถ้าเผลอไปตีรับรองว่าไปเกิดใหม่แน่นอน) ซึ่งในเกมยังมีสัญญาบอกให้เรารู้ แต่ว่าในชีวิตจริงนั้นไม่มี Status Window หรือเลเวลของชิ้นงาน ของไอเทม ของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า ลอยอยู่บนหัวของเค้าเพื่อบอกและให้เราเปรียบเทียบได้ว่าระดับของทักษะนั้นใกล้หรือห่างกันขนาดไหน

ความน่าสนใจของเรื่องนี้อยู่ที่ว่า ยิ่งเราใช้เวลากับอะไรมากเท่าไหร่ ความเข้าใจ ความเข้าถึง การ Appreciate ของเราก็จะพัฒนาไปเรื่อย ๆ พาเลท (Palette) ของเราก็จะลึกซึ้งมากขึ้นตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศิลปะ ดนตรี อาหาร หรือแม้กระทั่งการทำสเปรดชีตงบประมาณ (Budget spreadsheet)

บางทีการรีบด่วนตัดสินอะไรที่เรายังไม่เข้าใจ อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองให้ชื่นชมทุกสิ่ง เพราะความชื่นชมที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ผ่านการเรียนรู้และทำความเข้าใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป สิ่งสำคัญคือการรู้จักถ่อมตน (be humble) ยอมรับว่าทุกสิ่งล้วนมีที่มาที่ไป และเราอาจจะยังไม่รู้จักมันดีพอที่จะตัดสิน