วันนี้เป็นวันดีที่ผมได้พบกับ Mike Johnston มนุษย์ที่ ‘Nice’ ที่สุดคนหนึ่งที่ผมรู้จักบนโลกใบนี้ สำหรับคนที่ไม่รู้ Mike Johnston เป็น Drum Educator หรือถ้าเรียกแบบบ้าน ๆ คือครูสอนกลอง แต่ไม่ใช่แค่ครูสอนกลองธรรมดา เพราะเค้าคือ Drum Educator ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน Drum Educator ที่ดีที่สุดในโลก นอกจากความสามารถในการตีกลอง (ซึ่งก็แน่นอนว่าระดับโลก) เค้ายังมีทักษะในการสื่อสาร และถ่ายทอดความรู้ สามารถอธิบายเรื่องยาก ๆ ให้เข้าใจได้อย่างง่ายดาย
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ Mike Johnston มีอย่างเหลือล้นนั้นคือ ‘พลังบวก’ โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า Mike Johnston คือคนที่แผ่พลังบวกออกมามากที่สุดในวงการกลองเลยทีเดียว สังเกตได้จากคลิปวีดีโอต่าง ๆ ใน Page ของ Mike Johnston เอง ที่ดูทีไรก็จะทำให้รู้สึกอารมณ์ดีและมีพลัง ไม่ใช่แค่มีพลังในการตีกลอง แต่ทำให้รู้สึกมีพลังที่จะใช้ชีวิต อีกหลาย ๆ คนที่ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับ Mike Johnston ในวันนี้ก็คงจะเห็นด้วยกับผม
วินาทีแรกในวันนี้ที่ผมได้สบตากับ Mike Johnston ตามมาด้วยการทักทายอันแสนระรื่นเสมือนกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน ซึ่งหากจะพูดแบบนั้นก็คงไม่ผิดเพราะนี่ไม่ใช้การพบกันครั้งแรกระหว่างผมและ Mike Johnston หากแต่ครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นที่สตูดิโอที่จัด Drum Camp ของ Mike Johnston ที่อเมริกา ผมถือว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนรู้กับยอดฝีมือ แต่ที่สำคัญที่สุดคือได้รับพลังบวกนั้นมาอย่างเต็มที่ จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาล่วงเลยมาแล้ว 3 ปีเต็ม ๆ แต่พลังบวกของ Mike Johnston นั้นยังคงเต็มเปี่ยมและไม่มีลดลงแต่อย่างใด ไม่ว่าจะในจอหรือนอกจอ Mike Johnston คือมนุษย์ที่ Real จริงใจ และเป็นเนื้อแท้อย่างที่สุด
นี่คือ Drum Clinic ครั้งแรกในเมืองไทยของ Mike Johnston จัดขึ้นที่เวทีบนชั้น 7 ของ Theera Music เป็น Drum Clinic ที่มีมือกลองรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ มารวมตัวกันจากทั่วทุกสารทิศของประเทศไทย โดยเนื้อหาหลักของ Drum Clinic นี้เป็นการอธิบายถึง Framework ในการฝึกซ้อมที่ Mike Johnston คิดค้นขึ้นมาและให้ชื่อว่า
“4 Stage Practice Method”
“What you practice is not as important as how you practice”
"สิ่งที่คุณซ้อม ไม่สำคัญเท่า วิธีการที่คุณซ้อม"Mike Johnston
Stage 1: Non-Creative (10 minutes)
การฝึกซ้อมที่ “ไม่ใช้ความคิดสร้างสรรค์” – จุดประสงค์ของการฝึกซ้อมนี้คือ ให้สามารถทำในสิ่งที่ทำได้อยู่แล้วได้ดียิ่งขึ้น เร็วขึ้น สะอาดขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นสิ่งที่ยาก ที่จริงแล้วควรจะเป็นสิ่งที่แทบจะไม่ต้องใช้สมองในการนึกคิด (เช่น Single Stroke, Paradiddle, หรือแบบฝึกที่สามารถตีได้อยู่แล้ว เป็นต้น) เพียงแต่ต้องใช้ความอดทน และสมาธิในการไต่ระดับความเร็ว โดยที่ทุก Stroke นั้นต้องสะอาดอยู่
Stage 2: Creative (10 minutes)
การฝึกซ้อมที่ “ใช้ความคิดสร้างสรรค์” – จุดประสงค์ของการฝึกซ้อมนี้คือ เป็นการฝึก Improvise และบริหารสมองอย่างเต็มที่ สิ่งที่สำคัญที่สุดของ Stage 2 นี้ก็คือเราจะต้องมี ‘ข้อจำกัด’ หรือมีการ ‘ตีกรอบ‘ ให้ตัวเอง นั่นเพราะว่าหากเราฝึกการ Improvise แบบไร้ขอบเขต ด้วยความที่เรามีทางเลือกในการตีอยู่มากมายเกินไป เรามักจะไม่สามารถนำเสนอในสิ่งที่เหมาะสมได้ และอาจจะกลายเป็นว่าเรา Improvise ในสิ่งที่เคยชินไปโดยปริยาย ข้อจำกัดนี้เองที่จะทำให้เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมของการตีกลองที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งจะบีบให้เราต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอในที่สุด ข้อจำกัดนั้นสามารถเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่การ Fix Rudiment, Fix Dynamic, Fix Orchestration ฯลฯ โดยมีข้อควรระวังคือเราต้องมั่นใจในระดับหนึ่งว่าในข้อจำกัดที่เราเลือกนั้น เรามีคลังของ Rudiment อยู่เพียงพอ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถมีอิสระในข้อจำกัดนั้นได้ (หากเป็นเช่นนี้ เราควรจะนำ Rudiment ที่ยังตีไม่ได้มาฝึกเป็น Main Focus)
Stage 3: Main Focus (25 minutes)
การฝึกซ้อม “เนื้อหาหลัก” – จุดประสงค์ของการฝึกซ้อมนี้คือ การฝึกตีในเนื้อหาใหม่ที่เรายังตีไม่ได้ สามารถเลือกจาก Groove, Fills, Rudiment, Accent หรือจะเป็นการแกะเพลงก็ได้ ข้อแค่เป็นสิ่งที่เราต้องการที่จะตีให้ได้ แต่ว่ายังตีไม่ได้
หลังจากที่ตีเนื้อหาที่เลือกมาฝึกซ้อมได้แล้ว เราสามารถที่จะนำเนื้อหาใน Stage 3 นี้ไปฝึกใน Stage 1 เพื่อเพิ่มความเร็ว และความคมชัดให้กับ Groove, Fills, Rudiment, Accent ใหม่นี้ และเมื่อสามารถทำได้คล่องแล้ว เราสามารถต่อยอดเนื้อหานี้ไปยัง Stage 2 โดยการนำเนื้อหามาใช้ภายใต้ข้อจำกัดบางอย่างเพื่อฝึกความคิดสร้างสรรค์ได้อีกด้วย
Stage 4: Musical Application (5 - 15 minutes)
การฝึกซ้อม “การประยุกต์กับดนตรี” – จุดประสงค์ของการฝึกซ้อมนี้คือ สามารถนำสิ่งที่ร่ำเรียนฝึกฝนมาใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพราะสิ่งที่ฝึกมาทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นจะไร้ประโยชน์หากเราไม่สามารถนำมาเลือกใช้ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ดังนั้นวิธีการฝึกใน Stage 4 คือให้เราสุ่มเพลง (ที่ไม่คุ้นเคย หรือไม่เคยฟัง) ขึ้นมา เปิดตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ไม่ต้องกรอย้อนหลัง เสมือนเป็นการเล่นสด แล้วให้เราสมมุติว่าเรากำลัง Audition เพื่อเป็นมือกลอง Backup ของศิลปิน หรือเพลง ๆ นี้ ฝึกให้เราคอยฟังดนตรี และเลือกหยิบรูปแบบการตีที่เหมาะสมมาใช้กับเพลง เพื่อให้เกิดเป็นดนตรีที่สมบูรณ์
การฝึกทั้ง 4 Stage รวมกันจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ข้อสำคัญอีกอย่างคือควรจะมีการพักเบรกสั้น ๆ สัก 5 นาที (ทุก ๆ ~25 นาที) เพื่อให้สมาธิของเราดีขึ้น และอยู่ได้นานขึ้นในขณะฝึกซ้อม
*เพลงที่เล่นใน Clinic นั้นเป็นเพลงของวง Man On the Moon ซึ่งเป็นวงดนตรี 3 ชิ้น (กลอง กีต้า เบส) ของ Mike Johnston
YouTube: https://youtu.be/CdF-YKsPpU4
iTunes: https://goo.gl/jWhwEk
Spotify: https://goo.gl/KQnTXS
วันนี้เป็นวันที่ รู้สึกมีความสุขมาก ๆ รู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยพลังและแรงบันดาลใจ รู้สึกอยากจะสร้างสรรค์และลงมือทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย รู้สึกราวกับว่าฝันไป แต่หากเป็นเช่นนั้น นี่คือความฝันที่ได้เติมพลังให้กับชีวิตจริง
--
You are a great friend, brother, teacher, and an inspiration Mike Johnston. I could not thank you enough.
#MikeJohnston #Gretschdrums #drums #drumclinic #mikeslessons #Bangkok #Thailand